ออยเตียนสรูล http://aoytansrul.siam2web.com

หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต  วัดชลประทานราชดำริ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์  

หลวงปู่ฤทธิ์  เกิดวันอาทิตย์ที่ 13 เดือน 6 (พฤษภาคม) แรม 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2460 ณ ตำบลทุ่งมน อำเภอประสาท จังหวัดสุรินทร์ ท่านบวชเณรเมื่อปี 2482 และบวชเป็นพระที่วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2483 โดยมีหลวงพ่อแปะ วัดปราสาทธนาพร(บ้านพลวง) อำเภอประสาท เป็นพระอุปปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านมาจำพรรษาที่วัดปราสาทธนาพร เพื่อ ศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อแปะอยู่ 3 ปีจึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดพลับ ตำบลทุ่งมน อีก 4 ปี หลวงปู่ฤทธิ์ย้ายไปอยู่ วัดบ้านกระนัง ตำบลปรือ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2490 ระหว่างที่อยู่วัดนี้ท่านได้ออกธุดงค์ไปเสาะแสวงหา ความรู้ทั้งทางธรรมและทางไสยศาสตร์ทั่วเขตอีสานจนตลอดเข้าไปในประเทศลาวและเขมร                                          มรณภาพ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.48 อายุได้ 89 ปี พรรษา 66                                                                                                                                                      เรื่องราวของหลวงปู่สรวง พระอริยะสงฆ์ผู้พิสดารที่อยู่เหนือกาลเวลา ประมาณปี ๒๕๔๑ ได้มีผู้เคยถาม หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต วัดชลประทานราชดำริ ว่า หลวงปู่รู้จัก หลวงปู่สรวง แห่งท้องทุ่งศรีสะเกษ หรือเปล่าครับ? หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านบอกว่ารู้จัก และรู้จักมานานแล้ว เมื่อ คราวที่หลวงปู่ฤทธิ์ ทำบุญวางศิลาฤกษ์ สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ที่วัดชลประทานราชดำริ หลวงปู่สรวงท่านก็มา เวลาท่านมาท่านก็มาของท่านเองไม่รู้ว่าท่านมาเมื่อไหร่ มารู้อีกทีก็เมื่อตอนที่เห็นท่าน เวลาท่านจะไปท่านก็ไปท่านเดินออกไปทางป่าด้านโน้น อยู่ด้านหน้าศาลาเป็นป่ากว้างมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย ท่านเดินตรงไปแต่พอมองออกไปจะเห็นฝูงสัตว์เดินตามท่านเป็นพรวนแล้วสักพัก ท่านก็หายไป หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านยังได้พูดว่า เรื่อง หลวงปู่สรวงพูดไปแล้วก็เหมือนกับนิยาย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ท่านก็มีตัวตนจริง เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้พบเห็นท่านอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เห็นท่านเหมือนเดิม ตัวของหลวงพ่อเองนี่ซิแก่ลงไปทุกวัน ปีนี่ก็อายุ 82 แล้ว   แต่หลวงปู่สรวงท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้น ส่วนเรื่องอายุของ หลวงปู่สรวงนั้น หลวงปู่ฤทธิ์ท่านก็บอกว่า ท่านไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่   สถานที่จำวัด เมื่อตอนที่พบ หลวงปู่สรวงก็คือ กระท่อมเฝ้านากลางท้องทุ่งริมถนนหมู่บ้านละลม-สะเดา ชายแดนด้านเขมร เป็นกระท่อมยกพื้นสูงมุงหลังคาด้วยไม้กระดานเก่าๆ กันลมกันฝนไม่ค่อยได้ ในวันนั้นหลวงปู่สรวงท่านนอนอยู่ในกระท่อม มีชายชราผมขาวนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ คอยบีบนวดให้หลวงปู่สรวง นอกกระท่อมมีชายหญิงชาวบ้าน 4-5 คนนั่งคุยกันอยู่เป็นชาวบ้านย่านนั้น ข้างฝากระท่อมมีว่าวจุฬาตัวใหญ่เหน็บข้างฝาอยู่ 1 ตัว มีเตาเล็กๆ แลและหม้อหุงข้าวเก่าๆวางอยู่ 1 ชุด และก็มีถังใส่น้ำขุ่นๆเข้าใจว่าจะตักมาจากหนองน้ำกลางทุ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หน้ากระท่อมหลวงปู่สรวงมีแคร่ไม้ยาว สำหรับนั่ง พวกเราทุกคนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ลุกขึ้นมาแต่ท่านไม่พูดจาอะไร ในปากของท่าน ก็เคี้ยวใบพลูสดอยู่ตลอดเวลา มีพวกผมคนหนึ่งถามท่านว่า หลวงปู่อายุเท่าไรแล้ว ท่านก็ตอบเป็นภาษาส่วย ซึ่งผมเองและเพื่อนที่ไปจากกรุงเทพ ก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พรรคพวกที่ศรีสะเกษแปลว่าให้ฟังว่า เรื่องของอดีตลืมไปหมดแล้ว ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เขาเรียกว่าปู่สรวง ก็ปู่สรวง ชื่อเสียงมันก็ไม่ใช่ตัวของเราจะเรียกยังไงก็ได้ ถ้ามาคิดกันอีกแง่นึงก็เหมือนกับว่า ท่านได้สอนธรรมะชั้นสูงให้กับพวกเราให้รู้ว่า ให้มีแต่ปัจจุบันเพราะสิ่งทั้งหลายมันผ่านไปแล้ว มันเป็นเรื่อง สมมุติทั้งนั้น....


หลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราษฎร์บำรุง กรุงเทพฯ

 ท่านเล่าว่าท่านเองพบเห็นหลวงปู่สรวงมาแต่เล็ก ครั้งแรกที่หลวงพ่อสร้อย พบ หลวงปู่สรวง  ตอนนั้นหลวงพ่อสร้อยอายุยังน้อยๆ เป็นเด็กๆ ไปกับพระอาจารย์ของท่าน (ตอนนั้นพระอาจารย์ของท่านอายุ 90 กว่าปี) พระอาจารย์ของท่านไปกราบหลวงปู่สรวง  ตอนขากลับหลวงพ่อสร้อยก็ถามพระอาจารย์ว่า ทำไมพระอาจารย์ไปกราบหลวงปู่สรวง พระอาจารย์อายุมากขนาดนี้ พระอาจารย์ท่านตอบกลับว่า ไม่ใช่ จริงๆ แล้ว หลวงปู่สรวงท่านอายุมากกว่าพระอาจารย์ไม่รู้กี่เท่า

หลวงปู่สรวงท่านปักผ้าขาวไว้ที่ไหน ชาวเขมรอพยพที่หนีภัยสงครามจะมารวมกัน อยู่บริเวณเพราะรู้กันว่าจุดที่หลวง ปู่ปักผ้าขาวไว้ ลูกระเบิดไม่เคยตกลงมาสักครั้ง เพราะบารมีหลวงปู่คุ้มครอง ยามที่ชาวบ้านที่หนีตายจากภัยสงครามอดอยากหิวโหย ด้วยขาดแคลนอาหารการกินนั้นหลวงปู่สรวงท่านจะมีหม้อข้าวเล็กนำมาหุงจากนั้น ก็ตักข้าวให้กับผู้ลี้ภัยสงครามทุกคน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหม้อเล็กๆที่เด็กใช้เล่นกันนั้นกลับสามารถมีข้าวเพียงพอ แก่ความต้องการทุกคนอย่างน่าอัศจรรย์
      สมัยเด็กหลวงพ่อสร้อยหรือเด็กชาย สร้อยสมัยนั้น เคยถูกชวนจากหลวงปู่ให้เดินจากศรีสะเกษไปจังหวัดจันทบุรี ด้วยว่ามีคหบดีท่านหนึ่งจากจันทบุรีนิมนต์ท่านให้ไปฉันเพลที่บ้าน หลวงปู่ตอบตกลงพอถึงวันนัด หลวงปู่ปลุกเด็กชายสร้อยแต่เช้าตรู่ตอนตีสี่ จากนั้นทั้งหลวงปู่สรวงกับเด็กชายสร้อยต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แสงแดดก็เริ่มแรงกล้าขึ้นทุกขณะ เด็กชายสร้อยก็เริ่มหมดแรงเพราะเดินมานานหลายชั่วโมง และไม่มีทีท่าว่าจะถึงสถานที่นัดหมายของเจ้าภาพนั้นได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรด้วยการเดินเท้าเปล่าจากศรีสะเกษไปจันทบุรี ที่สุดเมื่อเด็กชายสร้อยรู้สึกเหนื่อยจนใจจะขาดแล้วนั้น ก็เอ่ยปากถามหลวงปู่สรวงขึ้นว่า หลวงปู่มันจะถึงหรือเนี่ย หลวงปู่สรวงตอบว่าเดินตัดทุ่งนาที่เห็นนี่ก็ถึงบ้านเจ้าภาพแล้ว เด็กชายสร้อยคิดว่าหลวงปู่พูดหลอกตน เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่ากับการเดินด้วยเท้าเปล่า แต่เด็กชายสร้อยก็อดทนเดินตามหลวงปู่ไป เมื่อพ้นจากเขตทุ่งนาเด็กชายสร้อยก็เข้าไปถามคนละแวกนั้นว่าที่นี่ที่ไหน คำตอบที่ได้คือ เขตจังหวัดจันทบุรี คำตอบที่ออกมาจากปากคนแถวนั้นเป็นสิ่งที่เด็กชายสร้อยแทบไม่เชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว พักเดียวหลวงปู่สรวงก็พาเด็กชายสร้อยขึ้นไปบนบ้านเจ้าภาพ ทันเวลาฉันเพลพอดี
     เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มีอีกมาก หลวงพ่อสร้อยเคยเล่าว่าบางครั้งท่านนั่งรถตู้จากกรุงเทพไปทุ่งละลมเพื่อกราบ หลวงปู่สรวง พอรถวิ่งเข้าเขตทุ่งละลมบางครั้งเห็นหลวงปู่สรวงท่านเดินดุ่มๆ อยู่ข้างหน้า ไม่ไกลนักท่านก็บอกคนขับรถว่าให้ขับแซงหน้าหลวงปู่ขึ้นไปจะได้รับหลวงปู่ ขึ้นรถ คนขับก็เหยียบเกียร์เร่งหมายให้ทันหลวงปู่สรวงที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก แต่แปลกอะไรเช่นนั้นรถเร่งความเร็วเท่าไหร่ระยะห่างระหว่างหลวงปู่กับรถยัง เท่าเดิม และทุกคนก็เห็นว่าหลวงปู่ท่านเดินเนิบๆอย่างมที่ท่านเคยเดินและหลวงปู่เองก็ ชราแล้วไม่ได้เดินเร็วสักหน่อยแล้วทำไมรถถึงตามไม่ทัน เมื่อหลวงพ่อสร้อยฉุกคิดได้ ท่านจึงบอกให้รถหยุด จากนั้นท่านจึงเดินลงไปตามหลวงปู่สรวง ก็เดินทันนับเป็นเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับการเดินหนย่นระยะทางที่หลวงปู่สรวง ท่านแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์


หลวงพ่อเมียน กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดบ้านจะเนียง อ.กระสัง จ.บรีรัมย์

เกิดวันอาทิตย์ เดือนตุลาคมปี 2479 ปีขาล  ณ บ้านกุมกันแห่งเมือง สวายตรึง ประเทศกัมพูชา  หลวงพ่อเมียน กลฺยาโณ วัดบ้านจะเนียงเป็นพระเกจิเขมร สายเขากุเลนผู้เรืองเวทย์เก่งจริง ท่านเป็นศิษย์สายเขากุเลน ตักกสิลาวิทยาคมเมืองเขมร อันมีองค์หลวงปู่สรวง,หลวงพ่อเจียม วัดกะมอล จ.กันทรลักษณ์ เป็นศิษย์อาวุโสในสายเขากุเลน  ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สรวง 

 

หลวงปู่อิง โชติโญ วัดโคกทม เถราจารย์ 5 แผ่นดิน ที่มีอายุยืนยาวมาถึงปี 2543 ( อายุ  115 ปี )
เกิดเมื่อปี 2428 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ ต.บ้านสะแกชำ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
หลวงปู่ถือธุดงควัตร อยู่ในป่าลึก อาศัยอยู่ในถ้ำ ทั้ง พม่า ลาว เขมร ได้พบกับพระอาจารย์เก่งๆ หลายองค์และได้เคยฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นฯ ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนออกเดินธุดงค์ต่อไป
หลวงปู่ละสังขารเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2544 อายุ 116 ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2544
ตอนประชุมเพลิงศพหลวงปู่ ปรากฏศพหลวงปู่ ไม่ไหม้ไฟ เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก จนต้องมีการขอขมาต่อสังขารของท่าน ขอให้ไหม้ไฟไปตามธรรมชาติ....

เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้หลวงปู่ชื่นท่านได้ทำผง “ราชวงศ์วรมันสรรพสิทธิ” ซึ่งเมื่อนำไปให้ผู้รู้หลายๆ ท่านสัมผัสดู หลายท่านบอกว่า มีพลังงานคล้ายผงโสฬสมหาพรหม มีอยู่รายหนึ่งได้เดินทางมาหาผม เพื่อขอผงราชวงศ์วรมันสรรพสิทธิไปผสมสร้างพระถวาย ครูบาอาจารย์ ได้โทรศัพท์ มารายงานว่า เมื่อนำผงไปให้ครูบาอาจารย์ดู ท่านถึงกับยกมือพนมท่วมหัว ท่านบอกว่า ผงนี้ดีมาก “มีฤทธิ์ตบะเดช อย่างสูงส่ง แรงกล้า” ผมเคยนำไปให้พระที่มีอภิญญาสูง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ครอบครูให้ผม คือ หลวงปู่อิง โชติโญ ท่านก็ยกมือพนมท่วมหัวเช่นกัน ท่านบอกว่า “ดีผง พระอาจารย์” ใครทำ ? ซึ่งตอนนั้นผมไม่ทราบว่า ผงพระอาจารย์ที่หลวงปู่อิง ท่านพูดถึงคืออะไร จนเวลาผ่านไปหลายปี ผมจึงรู้ว่าชาวกัมพูชา เขามีความเชื่อว่า มีพระทีทรงอภิญญาสูงที่ทรงเจริญอิทธิบาท 4 เป็นเหตุให้ดำรงขันธ์อยู่ได้ตลอดกัลป์มีอยู่ 3 องศ์ คือ หลวงปู่นิรนาม, หลวงปู่ดี และ หลวงปู่สรวง พระทั้ง 3 องศ์จะสลับกันทำหน้าที่ดูแล ตำราวิชาการต่างๆ ตลอดจนทรัพย์สมบัติ เพื่อรอคอยพระอาจารย์เสด็จมาอุบัติตรัสรู เป็นองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นพระทั้ง 3 องศ์ จะนำตำราและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ นำขึ้นถวายพระองศ์ท่าน ซึ่งพระอาจารย์ที่หลวงปู่ทั้ง 3 องศ์รอคอย การกลับมาเพื่อทรงอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือพระองศ์เจ้าศรีชัยวรมันมหาราชนั่นเองนั่นก็หมาย ความว่าพระคาถาจักรพรรดิก็เป็น 1 อยู่ในตำราที่จะนำถวายแก่พระอาจารย์ในภายภาคหน้า  

 

เรื่องเล่าของหลวงปู่สรวง (เพิ่มเติม)
เดิมผมก็ไม่เคยรู้จักหลวงปู่เลยเพราะเป็นคนกรุงเทพ ท่านอยู่แถบชายแดนไทย-เขมร ระยะทางห่างกันมาก
แต่ผมรู้จักท่าน เพราะผมไปหาปู่โทนซึ่งเป็นลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทพโลกอุดร คุยกับปู่โทนอยู่นานก่อนจะกลับจึงถามท่านว่า ในปัจจุบันปู่คิดว่ามีพระองค์ไหนในประเทศไทยที่เก่งที่สุด ทรงภูมิจิตภูมิธรรมสูงที่สุด
ปู่โทนบอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องไปกราบหลวงปู่สรวงแห่งบ้านละลม จ.สุรินทร์ แต่ต้องไปตามหาเอาเองนะเพราะท่านไม่ชอบอยู่วัด แต่ชอบอยู่ตามเพิงนาของชาวบ้าน
ผมกับเพื่อนก็ไปตามหาท่าน โดยไปถามชาวบ้านละลมจนได้ไปกราบหลวงปู่สมใจ
วันแรกที่ไปพบหลวงปู่ เพื่อนผมก็ถ่ายรูปท่าน ปรากฏว่ากดชัตเตอร์ไม่ลงถ่ายไม่ได้ ส่วนผมได้เอาถังสังฆทานไปถวายท่าน ท่านก็มองๆ ไม่ได้มารับประเคนเหมือนพระทั่วไป จนผมก็งงๆ อยู่ว่าท่านรับแล้วหรือยัง จนชาวบ้านมาบอกว่าไม่ต้องรอแล้วเพราะท่านรับแล้วอย่าคิดมาก 
เมื่อผมยกมือขึ้นไหว้เพื่อแสดงว่าทราบแล้ว ท่านก็แกะพลาสติกที่หุ้มถังสังฆทานออกทำการแจกของในถังสังฆทานแก่ชาวบ้านจนหมด ไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย ส่วนเงิน 500 บาทที่ผมทำบุญก็ยื่นส่งมอบให้แก่เจ้าของนาที่ท่านมาอาศัยอยู่
ตอนจะกลับนี่ซิครับเกิดเรื่องเหลือเชื่อ ขณะที่ผมกำลังกราบท่านเพื่อลากลับโดยผมอยู่ห่างจากท่านประมาณ 3-4 เมตร เมื่อก้มลงกราบในใจของผมก็คิดว่าขอให้หลวงปู่เป่ากระหม่อมให้ด้วย ปรากฏว่าเหมือนมีแท่งน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบขนาดกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางราว 6 นิ้ว วิ่งเสียบเข้ากลางกระหม่อมทะลุเข้าไปถึงท้อง ผมสะดุ้งสุดตัวเลยครับ
เงยหน้าขึ้นมองหลวงปู่ก็เห็นท่านหันหน้าไปอีกทางไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ และยังอยู่ห่างจากผมตั้งหลายเมตร
ขอบอกเลยว่าผมได้รับการเป่ากระหม่อมมาก็มาก ครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ ก็จะได้ไอเย็นเหมือนกันแต่จะเป็นไอเย็นเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วก้อย แต่นี่มาเป็นลำตันๆ เหมือนโดนเสาเข็มน้ำแข็งเสียบเข้ากลางกบาลเลยครับ
ผมเคยถามลูกศิษย์ของท่านหลายคนก็ไม่เคยมีใครได้รับการเป่ากระหม่อมจากหลวงปู่สรวงเหมือนผมเลย ดีใจที่สุดในชีวิตเลยครับ


ปู่โทน หลำแพร
ฆราวาสผู้รอบรู้ธรรมและไสยเวทย์ ท่านเกิด พ. ศ. ๒๔๓๐ในสมัยตอนเป็นหนุ่มเป็นผู้ใฝ่ธรรมเคยบวชเรียนและได้มีโอกาสพบพระธุดงค์รูปหนึ่ง จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสได้ติดตามพระธุดงค์รูปนั้นและมีโอกาสได้ศึกษาข้อธรรมและวิชาความรู้ ต่อมาจึงได้ทราบว่าพระธุดงค์รูปนั้นคือ “พระครูเทพโลกอุดร” และหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้ให้โอวาทการปฏิบัติกรรมฐาน

หลวงปู่สรวงเป็นหนึ่งในคณะหลวงปู่ เทพโลกอุดร สังเกตได้ว่าแม้ท่านไม่เคยรู้จักปู่โทน หลำแพร(ศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่ใหญ่และเป็นผู้นิมนต์หลวงปู่สี ฉันทสิริจากสุรินทร์มาที่วัดเขาถ้ำบุนนาค) เมื่อเจอหน้ากันครั้งแรกยังคุยกันอย่างสนิทสนม วัตถุมงคลของท่านหนีหายไปหรือมาให้เห็นได้ดื้อๆ เลยครับ ประสบการณ์ทั้งแคล้วคลาด มหาอุตม์ และโชคลาภนี่สุดๆครับ 



ครูบาเที่ยงธรรม วัดเวฬุวัน อ.พยุห์ จ.ศรีษะเกษ หรืออีกสมญาว่า" พระผู้อยู่เหนือโลก" 

สมัยก่อนครูบาเที่ยงธรรม เคยบอกกับผู้คนที่ ถามถึงอายุท่านว่า ท่านอายุเท่าไร ท่านถามอายุแต่ละคนที่อยู่ในที่นั้น พอถามเสร็จ ท่านตอบว่าเอาอายุพวกแกมารวมกันยังไม่เท่าอายุฉัน (ตอนนั้นลองบวกคร่าวๆ ได้ กว่า 700 ปี) 
แต่ ครูบาเที่ยงธรรม ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สรวงอีกทีนะ (พระอาจารย์โตท่านเล่าให้ฟังนะ) แล้วหลวงปู่สรวงจะอายุเท่าไรอ่ะ 
อายุ 500 ปี จำวัดทั่วจักรวาล บางท่านเรียกว่า ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง บางท่านเรียกว่า เทวดาเล่นดิน
เป็นสมญานามที่ หลาย ๆ ท่านให้ไว้กับ หลวงปู่สรวง พระอภิญญาผู้อยู่เหนือโลก เหนือกาลเวลานั่นเอง
พระอภิญญาในยุคนี้ คงจะไม่มีใครโดดเด่นเท่าหลวงปู่สรวง
คนแก่เฒ่า กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ก็เห็นท่านอยู่แบบนี้ ปู่ย่า ตายาย ก็เคยเห็นท่านอยู่แบบนี้ แม้แต่หลวงปู่ฤทธิ์ ก็เคยกล่าวถึงสังขารของหลวงปู่สรวงว่าไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ของท่านที่เปลี่ยนแปลง ศึกษา 

พระเหนือโลกอีกครั้งกับหลวงปู่สรวง เทพเจ้าแห่งบ้านละลม ผมขอยืนยันถึงเรื่องอภิญญาที่ท่าแสดงให้ดูต่อหน้าคนร่วมร้อย ในการทำพิธีพุทธาภิเษกพระที่วัดป่าหนองหล่ม จ.สระแก้ว ต่อหน้าคนนับร้อย เช่น เอากาน้ำร้อนที่กำลังเดือดเทใส่มือแล้วเอามาลูบหน้าทำน้ำมนต์ เสกสายสิญจน์ โยนเข้าไปในกองไฟโดยไม่ไหม้ ถ่ายรูปออกมามีแสงสีขาวเป็นดาวลอยอยู่ ทุกวันนี้ภาพเหล่านั้นติดตาไม่เคยลืม

ในช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ผมพบท่าน ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง และแต่ละครั้งก็มีเรื่องแปลกๆ ให้ได้เห็น และได้ยิน ครั้งหนึ่งเคยพาคณะตามรอยบาทหลวงปู่เทพโลกอุดรไปกราบท่าน พอพบท่าน ท่านก็ให้ลูกศิษย์อุ้มขึ้นรถทัวร์ของคณะฯ ให้พาไปหาหลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม วัดเวฬุวัน จ.ศรีษะเกษ 

พอถึงปากทางเข้าวัดท่านไม่ยอมลงจากรถ ต้องไปนิมนต์หลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรมมานิมนต์ที่ปากทางเข้าวัดท่านถึงจะยอมลง พอเข้าไปในวัดทั้งสององค์แยกกันอยู่คนละมุม

หลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรมอยู่ในศาลารับแขก หลวงปู่สรวงอยู่ที่กุฏิเก่าหลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม ห่างกันประมาณ 30 เมตร ไม่พูดไม่จากันร่วมชั่วโมง หลวงปู่สรวงจึงให้ลูกศิษย์พากลับ

ผมกราบถามหลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม "ทำไม ไม่คุยกับหลวงปู่สรวง" หลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรมตอบมาว่าคุยกันแล้ว "หลวงปู่สรวงท่านมาลา ท่านจะปลงสังขารอีก 6 เดือนนี้" หลังจากนั้นหลวงปู่สรวงก็มรณะภาพตามคำบอกของ หลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรมจริงๆ


พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี 

เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐

อีกหนึ่งข้อมูลที่ได้จากพี่อ้น ร้านกรอบพระ อยู่ชั้นใต้ดินบิ๊กซี ลาดพร้าว 
พี่อ้นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ บวชกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเลย
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่สรวง(เทวดาเล่นดิน)ว่า..เคยพบกับหลวงปู่สรวงเหมือนกัน ท่านรับรู้ได้ด้วยญาณของท่านว่า หลวงปู่สรวงเป็นพระอริยสงฆ์ชั้นสูง คือ เป็นพระอรหันต์แล้ว หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านบอกว่ามองไปที่กายของท่าน ข้างในของท่าน คงหมายถึงกายภายในหรือกายทิพย์ของหลวงปู่สรวง ตอนนี้เป็นเพชรไปหมดแล้ว



หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี พระเกจิอาจารย์แห่งแดนอีสาน

ท่านเป็นคนบ้านกุษกร ต.กุษกร อ.ตระการพืชผล เกิดเมื่อพ.ศ.2440
บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเร็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา
หลังจากที่สมเร็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลังจากนั้นคณะพระธุดงค์ก็แยกย้ายกันไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนา หาวิเวกกันต่อไป 
ส่วนหลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา 
หลวงปู่ได้เรียนวิชา จากครูพระฤาษีในป่ามากมาย และได้เรียนวิปัสนากับ หลวงปู่สรวง ออยเตรียนสรูล พระอริยสงฆ์จากภูตะแบงอีกด้วย จนสำเร็จลุน เรียกท่านว่า สำเร็จแก้ว 
ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย
เมื่อปี พ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา 

ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯ มานมัสการหลวงปู่พรหมมาถึง 2 ครั้ง 
ก่อนจะมรณภาพหลวงปู่ได้ดูแลชาวบ้านดงนา และใกล้เคียงเพื่อพัฒนาในบางส่วน ให้เรียบร้อยสวยงามโดยเน้นการรักษาป่าสงวนฯ

หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำสวนหินแก้ว (ผานางคอย) ภูกระเจียว บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี 
ได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจเมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 สิริอายุ105 ปี โดยมรณภาพ ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย


 ครูบาอาจารย์ผู้สอนธรรมของหลวงปู่เณรคำ มีมากมายหลายรูปได้ถ่ายทอดวิชาอาคมกรรมฐาน เช่น หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่บรมครูพระครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่สรวง (เทวดาเดินดิน) หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เป็นต้น จัดได้ว่าเป็นพระที่คงแก่เรียนศึกษาปฏิบัติ เป็นที่พี่งแก่ญาติโยมและลูกศิษย์มากมาย



หลวงปู่หงษ์ อายุ ๙๓ ปี สุสานทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
เป็นอีกรูปหนึ่งที่กล่าวถึงหลวงปู่สรวงว่า...
หลวงปู่ท่านเห็นหลวงปู่สรวงตั้งแต่เด็ก จนมาละสังขารเมื่อไม่นาน หลวงปู่ยืนยันกับผู้มาถามหลายครั้งเกี่ยวกับหลวงปู่สรวงว่า..
หลวงปู่สรวงสมัยหนุ่ม ๆ ท่านมาแบกอิฐสร้างวัดพระแก้ว อายุท่านจะเท่าไหร่คิดเอาหลานอีกเรื่องที่น่าสนใจคือวัตถุมงคลรุ่น ผ้าป่าสามัคคีกับหลวงปู่หงษ์ วันที่ 11 เมษายน 2553 ทราบว่าวัตถุมงคลชุดนี้เสกในตอนที่หลวงปู่ฯท่านเข้ากรรมฐาน รักษาโรค 19 วัน 19 คืน ด้วย ผมเองชอบใจเหรียญ ที่ด้านหนึ่งเป็นหลวงปู่ทวดฯ กับหลวงปู่ฯ อีกด้านหนึ่งเป็น หลวงปู่สรวง เทพดาบส 

ผมเองเมื่อก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องหลวงปู่สรวง ว่าท่านจะมีอายุยืนยาว นับร้อย ๆ ปีอย่างที่เขาลือกัน ผมคิดว่าคนเป็นแผนหากินกับพระตามเคย จนได้ยินข่าวแว่วจะบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ ฯ ท่านด้วยกัน ว่าหลวงปู่ฯท่านเองก็เคยกล่าวว่า หลวงปู่สรวงมีอายุยืนยาวมาหลายชั่วอายุคนจริง ๆ ไปครั้งนี้เลยคิดอยากจะถามเรื่องหลวงปู่สรวงกับท่าน ทั้ง ๆ ที่น่าจะถามตั้งนานแล้ว 
แต่ก่อนอื่นตั้งไปเลียบ ๆ เคียงถามลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดองค์ท่านก่อนจะได้ไม่ผิดพลาด ถามหลวงพี่หวิน ท่านก็บอกว่า "หลวงปู่ท่านว่าท่าเกิดมาก็เห็น หลวงปู่สรวง เป็นอย่างนี้แล้ว พอหลวงปู่สรวงมรณะภาพก็เป็นเหมือนเดิม" +-*/ หลวงปู่สรวง อย่างน้อยท่านต้องอายุ 150 ปี โอเค ถามป๋องต่อ "เฮ้ยป๋อง เคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นไง" -ครับพี่ครับ ป๋องเคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ หลวงปู่ฯท่านคุกเขาคุยกับ หลวงปู่สรวง เลยนะพี่- "หา...หลวงปู่นี่นะคุกเข่าคุยกับหลวงปู่สรวง" -ครับพี่ครับ- 
โอเค ข้อมูลแน่นอนละต่อไปเข้าไปถามกับองค์ท่านเองเลย เช้าวันพุธที่ 21 เม.ย. เวลา 05.15 น. โดยประมาณ เป็นโอกาสดีเพราะไม่มีใครเลย หลวงปู่ฯท่านก็อารมณ์ดี ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามตอนนี้ 
"เอ่อ หลวงปู่ครับ เขาว่าหลวงปู่สรวงนี่อายเป็นร้อยปีจริงหรือครับ" 
หลวงปู่ฯท่านหันมามองหน้าทันที ผมรู้แล้วเราคงถามเรื่องที่มันเกินตัว พ้นหัว ไม่ควรถามเข้าแล้ว
"ไม่ชัดเจนหรอก "
แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปดูข่าวทีวีเหมือนเดิม แต่ก็ชั่วอึดใจหนึ่งท่านก็หันกลับมา แล้วกล่าวว่า
"ตอนที่เขาสร้างวัดพระแก้วนะ หลวงปู่สรวง ไปช่วยเขาขนอิฐขนทรายสร้างวัดด้วย กี่ปี่มาแล้วหาตอนเขาสร้างวัดพระแก้วน่ะ"

พระอาจารย์บุญช่วย นั้นเป็นคนพื้นเพลพบุรี แต่เดิมประกอบธุรกิจส่วนตัว
และด้วยความที่ชอบทางวิชาคาถาอาคมจึงเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เรื่อยมา
จนกระทั่งรับศีลถือพรตเป็นผ้าขาว ไปกราบนมัสการครูบาอาจารย์ดังนี้
หลวงปู่เจียม วัดอินทราสุการาม ซึ่งท่านให้ผ้าขาวบุญช่วยไปเรียนวิชากับหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
เข้ากราบหลวงปู่ฤทธิ์ และมาอยู่กับหลวงปู่หงษืตามคำแนะนำของหลวงปู่เจียม
หลวงปู่หงษ์แนะนำวิชาทางสมุนไพร แต่ผ้าขาวบุญช่วยกล่าวว่าสมุนไพรหายากขอเป็นทางพระคาถาอาคม หลวงปู่หงษ์ก็เมตตาประสิทธิให้
ตอนที่อยู่กับหลวงปู่หงษ์นั้นท่านทำหน้าที่ช่วยคนเจ็บคนป่วยหลายอย่างจนเป็นที่ไว้วางใจหลวงปู่หงษ์อย่างมาก
ต่อมาจิตใฝ่ทางเนกขัมมะมากขึ้นจึงออกบวช 
หลังจากบวชได้ไม่เท่าไหร่มีปะขาวลึกลับท่านหนึ่งชื่อ จันตึ๊บเป็นชาวเขมรมาหาและบอกให้ไปเรียนวิชาที่เมืองเขมร
หลวงพ่อบุญช่วยไม่เคยรู้จักปะขาวจันตึ๊บมาก่อนยังความแปลกใจและคิดจะหาความจริงดู
ที่สุดท่านจึงตัดสินใจธุดงค์สู่เมืองเขมร ตามหาอาจารย์จันตึ๊บ
เมื่อเข้าสู่เมืองเขมรแล้วเป็นที่อัศจรรย์ว่าท่านระลึกได้ว่าท่านเคยเกิดในบ้านนี้เมืองนี้มาก่อน
ท่านมีโอกาสเข้าไปในพระราชวังเก่าแก่ของเจ้านโรดมสุหนุ ปัจจุบันลูกชายคนโตดูแลรักษาอยู่
ในเวียงของเจ้านโรดมนี้ท่านพบสิ่งสำคัญคือ ร่างของดาบสผู้หนึ่ง เรียกว่าลูกตาเบ๊าะ นอนนิ่งอยู่ ลูกชายของเจ้านโรดมกล่าวว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่สรวง
จากการเปิดเผยของลูกชายเจ้านโรดมสุหนุเล่าวว่าหลวงปู่สรวงท่านเป็นเชื้อเจ้ามีความเป็นมาลึกลับพิสดาร
ท่านเป็นคนสร้างเทวาลัยเขาพนมกุเลน เมื่อขึ้นไปจะพบหลักฐานคือ หินหมึมาสลักเป็นสัตว์ต่างๆสี่ตัวคือ วัว ช้าง กิเลน และราชสีห์
การสร้างนี้เล่ากันว่าหลวงปู่สรวงพร้อมทั้งพี่น้องรวมกันสี่คน เรียกว่าสี่พระหน่อไปฝึกวิชากันบนเขาพนมกุเลน
ทั้งสี่คนที่ร่ำเรียนวิชาด้วยกันมีหลวงปู่สรวง หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พรึม และหลวงปู่จันตึ๊บ
ทั้งสี่ร่ำเรียนวิชาเป็นตัวแทนของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ
ใครสำเร็จก่อนก็ลงจากเขาได้ก่อน ปรากฏว่าหลวงปู่สรวงสำเร็จก่อนใครลงจากเขาคนแรก
จากนั้นหลวงปู่สรวงไปสร้างพระใหญ่ห่างจากเขาพนมกุเลนไม่ไกล แล้วละสังขาร
ทางสำนักพระราชวังรู้จึงอัญเชิญสังขารมาบรรจุโลงแก้ว สังขารนั้นก็หาเน่าเปื่อยเหมือนปุถุชนแต่ค่อยๆแห้งลงไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด
จากนั้นมาท่านประกอบร่างที่สองขึ้นบนเขาภูตะแบง ท่านมีน้องชายน้องสาวด้วยทั้งหมดเป็นผู้มีอภิญญา
ในขณะที่อีกสามพระหน่อก็ทยอยกันสำเร็จวิชาเช่นกัน ทุกท่านได้วิชาตายคืน คือตายก็ได้อยู่ก็ได้เปลี่ยนร่างไปมาได้
อาจารย์จันตึ๊บที่มาพบหลวงพ่อบุญช่วยก็คือหนึ่งในสี่พระหน่อสี่พี่น้องที่ร่ำเรียนด้วยกันมากับหลวงปู่สรวง
นอกจากอาจารย์จันตึ๊บแล้วหลวงพ่อบุญช่วยได้พบกับพระองค์พรึมในร่างพระด้วย
อาจารย์จันตึ๊บและพระองค์พรึมเตือนหลวงพ่อบุญช่วยถึงเหตุการณ์ในบ้านเมืองไทย
คนจะฆ่าผลาญกันเอง จะเกิดสึนามิ แผ่นดินจะไหวจะถล่ม ภูเขาไฟก็จะระเบิด
ท่านเตือนมานานนับสิบปีถัดจากนั้นสึนามิมาก่อนแล้วเหตุการณ์คนสีแดงก็เกิดตามมา
ล่าสุดปีที่แล้วพระองค์พรึมเรียกหลวงพ่อบุญช่วยไปหาเตือนว่า
ต่อไปนี้ปี 2554-2555 จะเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ บ้านเมืองก็วุ่นวาย ที่สำคัญคือเตือนว่า จะมีแผ่นดินไหวใหญ่จากจีนแล้วจะส่งผลลงมายังเมืองกาญจนบุรีอันนี้อันที่หนึ่ง
อันที่สองจะเกิดพายุใหญ่จากเวียดนามแล้วส่งผลถึงเมืองไทย
ท่านเรียกไปบอกแล้วก็สอนคาถาเอาคาถานั้นมาเป็นคำภาวนา ท่านสั่งให้พระอาจารย์บุญช่วยนั่งก็ให้ภาวนา นอนก็ให้ภาวนา ภาวนาแล้วแผ่เมตตาจะลดภัยพิบัติทั้งหลายได้
หลวงพ่อบุญช่วยเมตตาบอกคาถาภาวนากันภัยพิบัติเป็นอักขระคาถาสายวิชาหลวงปู่สรวงมีแค่สามพยางค์คือ
อะกรึงกะ
ท่องคำนี้เสมอๆ ก่อนเกิดเหตุก็รู้ล่วงหน้าได้ กันภัยที่จะมาถึงตัวได้ วิธีท่องตั้งนะโมสามครั้งแล้วตั้งจิตอัญเชิญพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์หลวงปู่สรวงและสี่พระหน่อเทพพรหมพ่อแม่ครูอาจารย์ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ จากนั้นภาวนาคาถานี้ไปเรื่อยๆ รักษาไว้เป็นอารมณ์ทางใจ
จะภาวนาพุทโธสลับ สัมมาอะระหังสลับแล้วก็ภาวนาคาถานี้ไปด้วยก็ได้เอาให้เป็นกรรมฐานให้ใจสบาย
ต่อไปภัยพิบัติจะมาให้รักษาความดีกันเข้าไว้ครับ
สำหรับหลวงปู่สรวงนั้นท่านว่า สามารถเปลี่ยนร่างไปได้เรื่อยๆเป็นอจินไตย ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนยังไม่ถามต่อ แต่คาดว่าคงจะได้เรื่องราวลี้ลับมาเล่าสู่กันฟังอีก

หลวงปู่สรวงเป็นพระอริยะโพธิ์สัตว์ ที่มากด้วยเมตตา 

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้เข้ากราบหลวงพ่อบุญช่วย ที่อาศรมอาจารย์สมบัติท่านเมตตาเล่าถึงเรื่องหลวงปู่สรวงที่น่าพิสดารมากมายครับ

หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจคือการเปิดเผยเรื่องวิชาตายคืน
วิชาตายคืนนี้เป็นวิชาลี้ลับพิสดารตามแนวทางของมันตระยาน ซึ่งลัทธินี้เคยรุ่งเรืองในสมัยขอมโบราณยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 
มันตระยานเป็นการผสมผสานระหว่างพุทธกับพราหมณ์ ดังนั้นจึงมีวิชาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ เล่นฤทธิ์เดชเวทมนต์อย่างพิสดารพันลึก
หลวงปู่สรวงหรือลูกตาเบ๊าะ หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พลึง หลวงปู่จันตึบ ทั้ง ๔ ท่านนี้ก็สำเร็จวิชาตายคืนทั้งนั้น
วิชาตายคืนนี้เมื่อสิ้นแล้ว หากได้รับการเผาร่างภายใน ๒๘ วัน ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิชาก็จะสามารถประกอบธาตุ ๔ ขึ้นใหม่ได้ ในช่วง ๒๘ วันนั้น โดยให้ศิษย์ใกล้ชิดทำบายศรี ๑ คู่ หน่อกล้วย ๑ หน่อ ผ้าขาว ๑ พับ ไปบวงสรวง ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะบังเกิดร่างใหม่ของผู้สำเร็จวิชาตายคืนขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างใหม่ที่เกิดขึ้นจะหน้าตาเหมือนคนเดิมทุกประการแต่จะดูอ่อนเยาว์กว่าเหมือนว่ากลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง
แต่หากไม่ประสงค์จะประกอบร่างใหม่จะดำรงในสังขารเก่าด้วยอิทธิบาทภาวนาไปชั่วกัลป์ก็ได้ หรือจะถอดจิตไปหาร่างที่เหมาะสมกับตนก็ได้อีก
เรื่องนี้เป็นศาสตร์ชั้นสูงของวิญญาณศาสตร์ ในดินแดนขอม ได้รับเมตตาถ่ายทอดจากหลวงพ่อบุญช่วยนับว่าเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเรื่องราวของหลวงปู่สรวงมาก แล้วจะมาเล่าต่อในตอนต่อไปครับ 

ทรายอาบตัวหลวงปู่สรวง

ท่านอาจารย์สมบัติเป็นผู้หนึ่งที่เก็บทรายอาบตัวของหลวงปู่สรวงเอาไว้
ปฏิปทาของหลวงปู่สรวงท่านไม่เหมือนใคร ท่านอยู่กับดินติดดินตลอด ท่านอาบน้ำก็ตักเอาทรายเอาดินขึ้นอาบ ทางป่วยก็เสกดินกินดิน เป็นที่แปลกประหลาดในสายตาคนทั่วไป
แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นคือ ทรายที่ท่านใช้อาบนั้น นานวันไปกลับขึ้นเกล็ดแก้วเป็นประกายระยิบระยับ แน่นอนหลายท่านกล่าวว่านี่คือพระธาตุของท่านเกิดจากจิตบริสุทธิ์ที่มีอานุภาพของท่าน ยิ่งนานวันไปก็จะแปรสภาพเป็นพระธาตุให้บูชาเห็น
ถ้านำมาทำเป็นพระเครื่องก็จะมีพระธาตุเสด็จมาเกาะหรือเนื้อมวลสารขององค์พระจะงอกออกมาให้เห็น
ของต่างๆที่ผ่านมือผ่านสัมผัสจากหลวงปู่สรวงจะแปรสภาพเป็นพระธาตุหรือได้รับพลังงานอันเร้นลับทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพทางรักษาโรคหรือให้ความคุ้มครองได้อย่างน่าอัศจรรย์

สวัสดีครับ เรื่องราวของหลวงปู่สรวงผมฟังจากครูบาอาจารย์หลายท่านก็ล้วนน่าอัศจรรย์เหมือนนิทานจักรๆวงศ์ๆ แต่ทั้งหมดครูบาอาจารย์ต่างยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง

พระอาจารย์บุญช่วยเล่าว่า ในสี่พระหน่อ คือ หลวงปู่สรวง หลวงปู่รชรัตน์ พระองค์พลึงและหลวงปู่จันตึบนั้น
สองท่านแรก คือ หลวงปู่สรวงและหลวงปู่รชรัตน์ ละสังขารแล้วทิ้งร่าง คือภสพาสังขารเก่าก็ไม่เผา ถูกเก็บไว้อย่างดีตามสถานที่ต่างๆ ท่านไปหาร่างใหม่ของท่านเอง
ส่วนพระองค์พลึง ใช้การกลับชาติมาเกิด
ส่วน หลวงปู่จันตึบ นิยมใช้วิชาตายคืน ตายแล้วเผาร่างเดิมเสียจากนั้นประกอบร่างใหม่ด้วยวิชาตายคืนได้
ส่วนผู้จะร่ำเรียนวิชาสายนี้มีข้อห้ามในการับประทานอาหารคือ
ห้ามรับประทาน ชะอม กะถิน สะตอ ปลาตะเพียน ขอเหล่านี้ถือว่าคาวจัดกลิ่นเหม็นฉุนไม่เหมาะ แก่ธาตุขันธ์ของผู้ประกอบพระเวทย์ ห้ามรับปรนะทานถ้าถือกฏได้ทำสิ่งใดก็จะขลัง
พระอาจารย์บุญช่วยคุ้นเคยกับอาจารย์จันตึบมานานสิบกว่าปีมาแล้ว จากครั้งแรกที่อาจารย์จันตึบมาหาที่เขามงคลเทพประสิทธิ์แล้วบอกให้พระอาจารย์บุญช่วยไปตาตนที่เมืองเขมร มีได้จังหวะพระอาจารย์บุญช่วยก็ออกเดินทางเข้าเขมรเพื่อเสาะหาอาจารย์จันตึบ แต่กว่าจะเจอใช้เวลาเป็นปี
อาจารย์จันตึบมาคุยแต่ไม่บอกว่าตนเองอยู่ที่ไหน กว่าจะรู้ว่าท่านอยู่พะตะบองก็เหนื่อยแย่ และกว่าจะรู้ว่าอยู่ส่วนไหนในพะตะบองก็เล่นเอานานพอสมควร
แต่พอเจออาจารย์จันตึบแล้วสิ่งแรกที่ท่านให้คือ ฟัน 
การให้ฟันของท่านไม่ได้ให้ฟันที่หลุดออกมาแล้ว แต่เป็นการถอนฟันในปากให้สดๆ ใช้มือดึงออกมาเลย เป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ ท่านผู้อ่านครับเราๆท่านๆใครจะทำได้ถอนฟันกันสดๆ ทำได้รึเปล่า
แต่อาจารย์จันตึบท่านถอนออกมาให้พระอาจารย์บุญช่วยเลย แล้วบอกว่าช่วยดูแลแผ่นดินด้วย
เพราะต่อไปภัยพิบัติจะเกิดแล้ว เอาฟันท่านไปทำอะไรให้สำเร็จ
และอาจารย์จันตึบท่านนี่แหละที่เปิดเผยเรื่องราวของหลวงปู่สรวง ทั้งพาเข้าวังของเจ้านโรดมสีหนุด้วย จากนั้นลูกชายคนโตของเจ้านโรดมก็เล่าถึงเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของหลวงปู่สรวงในภาคเมืองเขมรเป็นครั้งแรก

การบูชาหลวงปู่สรวงแบบเต็มสูตร พระอาจารย์บุญช่วยให้ตั้งพานครู มีดังนี้ครับ
1 ดอกสะเลเต 10 ดอก
2 ธูป 19
3เทียน 19
4 ผ้าขาว 1 พับ
5 หมากพลูบุหรี่อย่างละ 19
6 เงินค่าครู 16 บาท

นำขึ้นบูชาวันพฤหัสหรือวันอาทิตย์ ประเสริฐนักแล 
ท่านบอกว่าถ้าเราเรียนวิชาสายหลวงปู่สรวงเรียนแล้วไม่รวย วิชาพระโพธิสัตว์ วิชาหลวงปู่สรวงนั้นเป็นวิชาให้คนอื่น แบกความทุกข์คนอื่นได้ ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข
แต่ตัวเองนั้นไม่ฟุ้งเฟื้อฟุ่มเฟือย เราต้องรักษาตัวให้สันโดษ เหมาะควรแก่ผู้ประพฤติธรรม
วิชาหลวงปู่สรวงให้พรผู้อื่นให้รวยให้ดีมีความสุขเป็นที่ตั้ง ส่วนตัวเองมีหน้าที่รักษาความดี ความสันโดษความสงบ


พระอาจารย์บุญช่วยหลังจากที่ได้รับมอบ ซี่ฟัน จากอาจารย์จันตึบแล้ว ท่านอาจารย์จันตึบได้จารหลังให้ตากหลักวิชาสายหลวงปู่สรวง การจารหลังนี้ยังเป็นการถ่ายเทพลังงานของท่านลงสู่สังขารของพระอาจารย์บุญช่วยด้วย ดังนั้นไม่ว่าพระอาจารย์บุญช่วยจะประสิทธิพร จะท่องคาถา จะปลุกเสกเลขยันต์ใดๆจึงเกิดความศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ขลังขึ้นเป็นพิเศษ เพราะถือว่ามีแรงครูบาอาจารย์หนุนอยู่ตลอด
ภารกิจหลักที่อาจารย์จันตึบมอบหมายให้คือการภาวนาเพื่อป้องกันภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นและจะเกิดหนักขึ้นต่อไปเรื่อยๆ หากไม่มีคนภาวนาไม่มีศีลธรรมแล้วจะเสียหายล้มตายวุ่นวายกันมากที่สุด
หมั่นทำความดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักษาศีล ภาวนา มองกายมองใจมากกว่ามองภายนอก ศีลธรรมอยู่ที่ไหนที่นั่นแหละปลอดภัย

พระอาจารย์บุญช่วยเมตตาให้พระคาถาเชิญญาณบารมีหลวงปู่สรวง และอนุญาตให้เผยแพร่ได้
คาถานี้ท่านเล่าว่าต้องขึ้นไปบนเขากุเลนจากนั้นอาจารย์จันตึบจึงบอกคาถาให้ เนื้อความคาถามีดังนี้ครับ
เรื่องเบี้ยแก้เป็นจริงตามข้างบนครับรับรองได้เช่นกัน
เพราะเบี้ยแก้ของหลวงพ่อบุญช่วยท่านสร้างจากปรอทป่า ซึ่งต้องใช้วิชาดักเท่านั้น ปรอทป่ามีอำนาจในตัวมาก ภูติผีปีศาจก็กลัว พกพาไปไหนไข้ป่าก็ดี ไข้ระบาดต่างๆก็ดีไม่มากล้ำกรายได้เลย
ผู้ที่พลาดรายการเบี้ยแก้ของหลวงพ่อบุญช่วย ยังมีหวังครับ เพราะศุกร์ที่ 9 เสาร์ที่ 10และอาทิตย์ที่ 11 กันยายนนี้ ท่านจะมาโปรดญาติโยมอีกครั้งที่อาศรมอาจารย์สมบัติ แยกเทพารักษ์ครับ
เบี้ยแก้ทุกชิ้นของท่านต้องอัญเชิญบารมีหลวงปู่สรวงมาอธิษฐานจิต รวมทั้งผู้วิเศษ อีกสามท่านคือ หลวงปู่สะเดิง หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พลึง 
ทั้ง ๓ ท่านที่กล่าวมาคือพี่น้องที่ร่วมเรียนพระเวทย์กับหลวงปู่สรวงบนเขาพนมกุเลน
ทั้งหมดมีอภิญญาล้ำลึก ล่องหนหายตัว บันดาลลมฝนต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ และทุกท่านเป็นอมตะ เปลี่ยนร่างไปได้เรื่อยๆ 
หลวงพ่อบุญช่วยท่านเล่าว่า ทั้ง ๔ ท่านคือ หลวงปู่สรวงหรือลูกตาเบ๊าะ หลวงปู่สะเดิงหรือดาบสจันตึบ หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พลึง เป็นผู้สำเร็จธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นผู้เหนือโลก แต่บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ โปรดผู้หวังดีต่อพระศาสนา ท่านจะอยู่จะตายสุดแท้แต่ท่านและทุกท่านสำเร็จวิชาตายคืน คือตายแล้วทิ้งร่างก็ได้ประกอบร่างใหม่เอา หรือเอาดวงจิตไปไว้ที่ร่างไหนๆก็ตามสะดวก ศาสตร์นี้คือสุดยอดของวิญญาณศาสตร์ที่แต่โบราณผู้สำเร็จมีน้อย ดังนั้นการท่องคาถาการปลุกเสกทุกอย่าง หลวงพ่อบุญช่วยท่านจะเชิญท่านผู้สำเร็จทั้ง ๔ มาอธิษฐานจิตปลุกเสกหรือทำพิธีต่างๆให้ ของที่ทำมาจึงขลังพิศูจน์ได้จริง ใช้ได้ผลจริง ขอเพียงแค่มีศรัทธาเท่านั้น

เรื่องราวของหลวงปู่สรวงเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เหนือความนึกคิดคาดฝันของเราเสมอๆ ไม่ว่าเรื่องอายุของท่านซึ่งจากการที่ผมสอบถามจากน้องชายของหลวงพ่อสร้อยซึ่งมาร่วมงนศดของหลวงพ่อสร้อยที่วัดเลียบราษฏ์บำรุงเขตบางซื่อสรุปได้ว่าคะเนอายุที่ต่ำที่สุดของท่านก็ต้องไม่ต่ำกว่า 275 ปี นอกจากนี้บ้างก็บอกว่าท่านมีอายุ 3 ร้อยกว่าปี ที่ได้ยินจากหลวงพ่อสร้อยเองท่านบอกว่า 414 ปี นอกจากนี้บางท่านก็บอกว่าห้าร้อยปี และหกร้อยกว่าปี
มีพระคณาจารย์บางท่านที่เที่ยวศึกษาจากพระธุดงค์แถบชายแดนเขมรเล่าวว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงรุ่นเก่าๆที่สำเร็จวิฃาอายุวัฒนะนี้ก็มีอายุหลายร้อยปีเช่นเดียวับท่าน ท่านเหล่านี้จะอยู่ตามตะเข็บชายแดนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร บางท่านเคยมรณะภาพไปแล้ว ฌาปนกิจศพไปแล้ว มีกระดูกวางไว้บูชาในโกฐแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่นานก็ออกมาจากป่ามาโปรดคนอีก พระท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงท่านหนึ่งบอกว่าต้องเผาหรือต้องตายครบ ๘ ครั้งจึงตายจริงครั้งหนึ่งจะมีอายุได้ประมาณ 300 ปี บางท่านตายมาแล้วครั้งหนึ่ง บางท่านเคยตายมาแล้วสามครั้ง และมีการยืนยันว่าสำหรับหลวงปู่สรวงท่านแล้วยังไม่มีใครเคยเห็นท่านมรณะภาพลงเลยครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรก
วิชาเหล่านี้จะไม่เรียกว่าตายจริงแต่จะเป็นเสมือนการลอกคราบของงูหรือจั๊กจั่น ซึ่งทิ้งสังขารเก่าไว้เหมือนซาก แต่กลับมีร่างใหม่กายใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ถ้าติดตามกระทู้มาโดยตลอดจะเห็นว่ามีการเล่าด้วยว่า หลวงปู่สรวงมีด้วยกันถึงสามองค์อีกสององค์อยู่ในเขมรเที่ยวโปรดญาติโยมอย่างลี้ลับ 
เรื่องของท่านฟังแล้วเข้าใจยาก แต่ง่ายที่สุดที่เข้าใจได้คือท่านไม่ได้อยู่อย่างเราไม่ได้อยู่ด้วยเงื่อนไขอย่างที่เราๆท่านๆอยู่ ท่านคือสิ่งที่เหนือความเข้าใจของปุถุชนไปแล้ว
วันเวลาที่ท่านอยู่หรือท่านไปไม่มีความจริงสำหรับเราและท่าน ด้วยว่าท่านอยู่เหนือสมมุตินั่นเอง ดังนั้นการที่ท่านจะมีกี่กาย มีอายุยืนนานเท่าใดจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ สุดวิสัยแห่งการหยั่งรู้ของเราผู้เป็นปุถุชน เราทราบแต่ว่าตลอดเวลาที่ท่านอยู่นั้นท่านไม่สะสม ท่านไม่มีวัดอยู่ มีอะไรท่านก็แจกหมด หรือไม่ก้เผาทำลายทิ้งซะ เป็นแบบอย่างพระผู้ละโลกโดยแท้ และถือว่าเป็นตำนานแห่งโลกอุดรที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน 
๑ ท่องนะโม ๓ จบ
๒ อิลิเมี๊ยะอ็องสรวงสัมปันโน อิติปิโส นะโมพุทเธียเยีย อิสวาสุติมหาบันดาลสัจจัง อิริกิเป
๓ ให้หมั่นภาวนา คาถา "อะกรึงกะ" คำนี้กันภัยได้ ท่องประจำให้เกิดญาณหยั่งรู้ว่าภัยจะมาเมื่อไหร่ หลงหลีกป้องกันได้ทุกประการ
๔ ท่องภาวนาคำว่า "บายตึ๊กเจีย" ทำให้ร่มเย็นเป็นสุข มีเงินมีทองไม่ขาด



Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 3,633 Today: 6 PageView/Month: 31

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...